Last updated: 9 ก.ย. 2568 | 359 จำนวนผู้เข้าชม |
พลิกโฉมไทยด้วย AI
ผศ.ดร.ณัฐพล นิมมานพัชรินทร์ ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa)
“AI คือ ‘Game Changer’ ที่ส่งผลกระทบวงกว้างต่อเศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศ โดยเฉพาะช่วงปีที่ผ่านมา AI มีพัฒนาการแบบ "ก้าวกระโดด" และถูกประยุกต์ใช้ในวงกว้าง ทั่วทุกมุมโลก โดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจที่กำลัง "แข่งขัน" เพื่อเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีนี้”
สำหรับประเทศไทย การไม่เร่งพัฒนาและประยุกต์ใช้ AI ให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลให้ประเทศ "สูญเสียโอกาสในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน" เราคงไม่ถึงขั้นต้องพัฒนาได้เอง เป็นผู้นำด้าน AI ระดับโลก แต่เราต้องเข้าใจ และเลือกใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งใน Positioning ของประเทศไทยตอนนี้ หากเริ่มจากการทำ Sectoral Open Data ที่เป็นจุดเด่น อาทิ เกษตร ท่องเที่ยว สุขภาพ ภาครัฐ การเงิน ฯลฯ หรือ Sectoral AI Model ที่มีความเฉพาะทาง อาจมีส่วนให้ประเทศไทยโดดเด่นยิ่งขึ้นในสายตาชาวโลก
ในการพัฒนา AI ต้องอาศัยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ (HPC), Cloud และ Data Center ที่ต้องมีต้นทุนการเข้าถึง (Affordability) ที่เหมาะสม และยังต้องอาศัยพลังงานสะอาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ทั่วโลกจึงแข่งขันกันดึงดูดการลงทุนและพัฒนาเทคโนโลยี Cloud และ HPC เพื่อรองรับ "AI Model" ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ถึงเวลาที่เราต้องถามตัวเองว่า...คนไทย 71 ล้านคน ภาคเกษตร บริการ การผลิต และ SMEs กว่า 3.2 ล้านราย จะปรับตัวอย่างไรในโลก AI หรือจะยอม "ถอยหลัง" และ "เสียโอกาส" ครั้งใหญ่?
ผลกระทบเกิดขึ้นในทุกระดับ ประชาชนไทย 71 ล้านคน บางกลุ่มอาจอยู่รอดและแข่งขันได้ แต่ส่วนใหญ่ที่ขาด "Digital Literacy" โดยเฉพาะเกษตรกร บุคลากรภาคบริการ ภาคการผลิต และภาครัฐ มีความเสี่ยงที่จะตกเป็นบุคลากรที่ไม่มีทักษะ ทำงานผลิตภาพต่ำ ขาดโอกาสยกระดับคุณภาพชีวิต ประชากรวัยเรียนประมาณ 15 ล้านคน หากไม่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เพื่อการเรียนรู้ได้ ในระยะ 10-15 ปี ประเทศไทยจะมีประชากรวัยแรงงานที่มีความสามารถต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และสูญเสียศักยภาพของประเทศในระยะยาว
ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะ SMEs ประมาณ 3.2 ล้านราย หากไม่สามารถพัฒนาหรือประยุกต์ใช้ AI จะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทุกด้าน ทั้งการเป็นผู้นำต้นทุน (Cost Leadership), การสร้างความแตกต่าง (Differentiation) และการพัฒนานวัตกรรม (Innovation Development) ดังที่ไทยกำลังประสบปัญหาในปัจจุบันที่แพลตฟอร์มดิจิทัลขนาดใหญ่จากต่างประเทศกลายเป็นผู้ครอบครองตลาดภายในประเทศในหลายอุตสาหกรรม อาทิ E-commerce การขนส่ง และการท่องเที่ยว
ในภาพรวมของประเทศ การไม่เร่งนำเทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะ AI มาปรับใช้ในธุรกิจและอุตสาหกรรม จะทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้าเพิ่มขึ้น และไม่สามารถเพิ่มอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่สามารถก้าวพ้นกับดักรายได้ปานกลางตามที่ประเทศตั้งเป้าไว้ได้
5 เสาหลัก...เร่งเครื่อง "AI Economy" ไทยให้ตื่น!
depa ในฐานะหน่วยงานส่งเสริม เราเลยกลับมาตั้งคำถามว่า เราจะ "พลิกเกม" สร้าง "AI Economy" ที่แข็งแกร่งได้อย่างไร? คงไม่มองแค่ในมุมของการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างเดียวแน่นอน แต่จะขับเคลื่อน AI Economy ได้ ต้องมองให้ครบ ตั้งแต่กำลังคนในประเทศพอไหม ควรดึง Talent จากต่างประเทศมาอย่างไร โครงสร้างพื้นฐาน Data Center, Cloud เพียงพอ ครอบคลุม ทั่วถึงหรือยัง ยังต้องมีกลไกส่งเสริม ควบคู่กับการกระตุ้นการประยุกต์ใช้ และที่สำคัญ การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้งาน AI
depa ได้วางแผนยุทธศาสตร์การส่งเสริมเศรษฐกิจปัญญาประดิษฐ์ประเทศไทย พ.ศ. 2568 – 2570 โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมการใช้งาน AI ในภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ กระตุ้นให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มผลิตภาพทางการผลิตให้กับประเทศ การขับเคลื่อน AI ในประเทศไทยต้องดำเนินการไปทั้งระบบ ตั้งแต่การดึงดูดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การจัดทำฐานข้อมูล การส่งเสริมผู้พัฒนา AI การส่งเสริมการใช้งาน AI สำหรับภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน โดยแบ่งเป็น 5 ยุทธศาสตร์ AI ประเทศไทย
ยุทธศาสตร์ที่ 1: โครงสร้างพื้นฐานต้องพร้อม สร้างความเชื่อมั่นดึงดูดนักลงทุน
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านปัญญาประดิษฐ์ (Building AI Infrastructure) มีเป้าหมายเพื่อให้เกิดการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) Cloud และ AI
ยุทธศาสตร์ที่ 2: ส่งเสริม AI Solution สัญชาติไทย
การพัฒนาและส่งเสริมเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Igniting AI Promotion & Development) พัฒนา "Open Data" รายสาขา (Sectoral Open Data) สำหรับ "AI Model" ส่งเสริมการจัดตั้ง "Global AI Excellence Center" และพัฒนา "Thai AI Sectoral Model" รวมถึงจัดตั้ง "Thai AI Investment Fund" และส่งเสริม "Thai AI Application" 1,000 ชิ้นใน 3 ปี ด้วยการสนับสนุน "Thai AI Startup" และ "Accelerator"
ยุทธศาสตร์ที่ 3: บุคลากร AI ตัวแปรสำคัญความสำเร็จ
การดึงดูดและพัฒนากำลังคนด้านปัญญาประดิษฐ์ (Attracting & Empowering AI Talent) สร้าง "AI Talent" ในประเทศ ซึ่งกลไก Digital Skill Roadmap เดินหน้าแล้ว คนไทยเข้าใจ AI สร้างอาชีพจาก AI และ ปั้นสายอาชีพ AI พร้อมดึงดูด "High Potential AI Talent" ต่างชาติ ด้วยนโยบายวีซ่า พร้อมอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ ตั้งเป้า 1 ล้านคนใน 3 ปี เพื่อให้ทันกับการพัฒนาของ AI ที่รวดเร็ว
ยุทธศาสตร์ที่ 4: จะเห็นผลต้องมีการใช้งาน AI
การเร่งรัดการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (Accelerating AI Transformation) ส่งเสริมการประยุกต์ใช้ AI ใน SMEs และ Micro Enterprise ด้วยกลไกภาษีและมาตรการสนับสนุนต่าง ๆ สร้างทักษะ AI ให้แรงงาน ส่งเสริม "AI Use Case" ในภาครัฐ 5 ด้าน และสร้าง "Awareness" ในภาคประชาชน
ยุทธศาสตร์ที่ 5: จะใช้ AI ต้องมี Trust และ Security
การสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยในการใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (Developing AI Trust & Security) ปัจจุบัน AI เข้ามามีบทบาทสำคัญ แต่ก็มาพร้อมความท้าทายและความเสี่ยง การสร้างความเชื่อมั่น (AI Trust) และความปลอดภัย (AI Security) จะช่วยลดความเสี่ยงจากการหลอกลวง การขาดความเชื่อมั่น และปัญหาทางธุรกิจ เป้าหมายคือ การลดมูลค่าความสูญเสียจากภัยไซเบอร์ลง 30% หรือ 10,000 ล้านบาทต่อปี
- การสร้างความเชื่อมั่นในเทคโนโลยี AI (AI Trust): ทำให้ "AI Application" น่าเชื่อถือ ด้วย "AI Governance Center" พัฒนา "Responsible AI Guideline", "Ethical AI Guideline" และจัดตั้ง "AI Sandbox" พร้อมพัฒนา "AI Verification Toolkit"
- การส่งเสริมความปลอดภัยในการพัฒนาและใช้งาน AI (AI Security): ลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ ด้วยการส่งเสริม "AI Solutions" ป้องกันภัยไซเบอร์ สร้าง "Awareness" ด้าน AI และไซเบอร์ซีเคียวริตี้ในประชาชน และพัฒนา "White Hackers" พร้อมเครื่องมือทดสอบความปลอดภัย AI
แผนที่ depa วาง ไม่ใช่แค่เอกสาร แต่มันจะเป็น "Roadmap" ของประเทศ
การใช้งาน AI คือ การลงทุนเพื่ออนาคต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน
และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย อีกทั้งทำให้ประเทศไทยเป็นผู้รอดของ New World!
AI Economy กับ Infinite Challenges
“ในยุคที่เศรษฐกิจดิจิทัลถูกขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) อย่างเต็มกำลัง ประเทศไทยยืนอยู่บนทางแยกที่เต็มไปด้วยโอกาสและความท้าทายอันไร้ขีดจำกัด AI ไม่ได้เป็นเพียงเทคโนโลยีแห่งอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นกลไกสำคัญที่กำลังปฏิวัติทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรม ตั้งแต่การผลิตไปจนถึงการบริการ การแพทย์ และการเกษตร เรามองเห็นศักยภาพอันยิ่งใหญ่ในการที่ AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน สร้างสรรค์นวัตกรรม และยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วย "Infinite Challenges" หรือความท้าทายที่ไร้สิ้นสุด ไม่ว่าจะเป็น การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะเฉพาะทาง โครงสร้างพื้นฐานที่ยังไม่พร้อมรองรับการเติบโตอย่างก้าวกระโดด ข้อจำกัดด้านการเข้าถึงข้อมูลที่มีคุณภาพ รวมถึงความจำเป็นในการสร้างกรอบธรรมาภิบาลและจริยธรรมที่เข้มแข็ง เพื่อให้ AI ถูกนำมาใช้ด้วยความรับผิดชอบและเป็นธรรม การก้าวข้ามอุปสรรคเหล่านี้จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่เป็นการบูรณาการความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการศึกษา เพื่อสร้างระบบนิเวศที่เอื้อต่อการเรียนรู้ การลงทุน และการประยุกต์ใช้ AI อย่างชาญฉลาดและยั่งยืน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถเปลี่ยน "Infinite Challenges" เป็น "Infinite Opportunities" และเป็นผู้นำในยุค AI Economy ได้อย่างแท้จริง” ผศ.ดร.ณัฐพล กล่าวทิ้งท้าย