Last updated: 26 ก.ย. 2568 | 818 จำนวนผู้เข้าชม |
AI ไทยก้าวสู่อนาคต รัฐบาลเดินหน้าเทคโนโลยีอย่างมีทิศทาง
ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC)
"เรากำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการขับเคลื่อนเทคโนโลยี AI ประเทศไทย ไทยเราเริ่มต้นก่อนแต่เดินหน้าได้ช้ากว่าหลายประเทศ วันนี้เรากำลังเร่งเครื่องอย่างมีระบบ" ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) เปิดบทสนทนาด้วยน้ำเสียงมั่นใจ
ดร.ชัย เล่าถึงความคืบหน้าในการผลักดันแผนยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติว่า ที่เริ่มต้นร่างตั้งแต่ปี 2562 และถูกประกาศใช้อย่างเป็นทางการในปี 2565 แม้จะเผชิญช่วงเวลาที่ไม่มีคณะกรรมการขับเคลื่อนกลางกว่า 3 ปี แต่ต้นปี 2568 ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการใหม่ โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ขณะนั้น) เป็นประธาน และได้ประชุมครั้งที่สองไปเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 ที่ผ่านมา
"แม้จะมีการเปลี่ยนรัฐบาล แต่แผน AI แห่งชาติยังคงเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง มีการปรับเล็กน้อยในเชิงกลยุทธ์ แต่ยังอยู่บนแนวทางเดิม คือการวางรากฐาน และส่งเสริมการใช้งานจริง โดยมี NECTEC ภายใต้ สวทช. รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยเลขานุการของแผนนี้"
สำหรับแผน AI แห่งชาติ ที่ปรับปรุงล่าสุด จะเน้นการดำเนินงานใน 2 มิติหลัก คือ Readiness (ความพร้อม) และ Adoption (การใช้งานจริง) ประกอบด้วย
Readiness: วางรากฐานให้มั่น ก่อนเร่งเครื่อง ในมิติความพร้อม (Readiness) คือการวางรากฐานให้ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร และกฎหมายรองรับการพัฒนา AI ได้อย่างยั่งยืน โดยในแผน AI แห่งชาติได้ให้ความสำคัญกับองค์ประกอบสำคัญดังนี้
- โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ลงทุนในซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติ ดาต้าเซ็นเตอร์กลาง และแพลตฟอร์มกลางที่เปิดให้เอกชนและนักวิจัยเข้าถึงทรัพยากร AI ได้อย่างเท่าเทียม
- กำลังคนและทักษะ (Talent) วางเป้าพัฒนาบุคลากรด้าน AI ทั้งสายเทคนิค (เช่น วิศวกรข้อมูล วิจัยอัลกอริทึม) และสายการใช้งาน (เช่น แพทย์ นักการเงิน ข้าราชการ) รวมกว่า 30,000 คนในเฟสแรก พร้อมสำหรับการขยายผลอีกจำนวนมากในเฟสสอง
- กฎหมายและมาตรฐาน (Legal & Governance): พัฒนากรอบกฎหมายด้าน AI ที่ยืดหยุ่น เน้นแนวทาง “Soft Regulation” พร้อมมาตรฐานกลางและแนวทางด้านจริยธรรม เช่น ระบบประเมินผลกระทบ AI และการทดสอบรับรอง (AI Certification) เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ประชาชนและผู้ลงทุน
Adoption ผลักดันใช้งานจริง สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้ อีกมิติสำคัญคือการส่งเสริมให้เกิด การใช้งานจริง (Adoption) ของ AI ในภาคส่วนต่าง ๆ ประกอบด้วย
- โครงการนำร่องในภาครัฐและสังคม เช่น AI คัดกรองผู้ป่วยในโรงพยาบาลชุมชน, ระบบเตือนภัยฝุ่น PM2.5, และแชตบอตราชการที่เข้าถึงประชาชน
- การนำ AI สู่ภาคธุรกิจ ส่งเสริมให้ SMEs และสตาร์ทอัปเข้าถึงเทคโนโลยี AI ผ่าน Sandbox ทดสอบใช้งาน และให้แรงจูงใจด้านภาษีหรือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ
- สนับสนุนสตาร์ทอัปไทย สนับสนุนให้เกิด Deep Tech Startup โดยต่อยอดจากงานวิจัยภายในประเทศ ลดการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ และสร้างผลิตภัณฑ์ที่สามารถแข่งขันในภูมิภาคได้
แผนระยะ 6 ปี เดินมาแล้วครึ่งทาง
สำหรับแผน AI แห่งชาติในระยะแรก ได้ดำเนินการภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ 6 ปี โดยมีแผนการขับเคลื่อน AI ของไทยแบ่งออกเป็น 5 แกนหลัก ได้แก่:
1. การพัฒนากำลังคน ตั้งแต่เด็กนักเรียนจนถึงแรงงาน โดยตั้งเป้าพัฒนา 30,000 คนในเฟสแรก และขยายเป็นสองเท่าในระยะต่อไป
2. การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และดาต้าเซนเตอร์ ซึ่งไทยยังอ่อนแอในด้านซอฟต์แวร์ และต้องสร้างระบบนิเวศให้เอื้อต่อสตาร์ทอัป
3. งานวิจัยและพัฒนา (R&D) โดยตั้งเป้าสร้างอย่างน้อย 100 นวัตกรรมต่อปี และมีสตาร์ทอัปใหม่จากงานวิจัยอย่างน้อย 20–50 รายต่อปี
4. การใช้งานจริงในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น ราชการ แพทย์ การศึกษา การท่องเที่ยว โดยเฉพาะในภาคสาธารณสุข ที่ไทยมีโอกาสแซงสิงคโปร์ได้
5. กฎหมายและจริยธรรม ที่ส่งเสริมให้เกิดการใช้งานอย่างปลอดภัย เป็นธรรม และไม่แย่งงานมนุษย์
"ตอนนี้เราดำเนินการได้ราว 30% ของแผน อุปสรรคหลักคือการเปลี่ยนแปลงรัฐบาล ทำให้ขาดคณะกรรมการกลางที่ขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องเร่งวางโครงสร้างถาวร" ดร.ชัยระบุ
โอกาสของไทยในภูมิภาคอาเซียน
"แม้สิงคโปร์จะเป็นผู้นำ AI ในอาเซียน แต่ไทยเองก็มีศักยภาพไม่น้อย เรานำหน้าอินโดนีเซียและเวียดนาม และกำลังไล่หลังมาเลเซียอย่างกระชั้นชิด หากเราวางระบบสนับสนุนได้ดี โดยเฉพาะด้านการลงทุน โครงสร้างพื้นฐาน และกำลังคน ไทยก็สามารถเป็นศูนย์กลาง AI ได้"
ดร.ชัยยกตัวอย่างว่า ภาคการแพทย์ของไทยมีเครือข่ายโรงพยาบาลและนักวิจัยที่แข็งแกร่ง จึงมีโอกาสสูงในการพัฒนา Medical AI และสามารถลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศได้ โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมในประเทศอย่างน้อย 100 โครงการ และสนับสนุนให้เกิดการใช้งานอย่างน้อย 600 องค์กร แต่สิ่งที่ขาด คือมาตรการสนับสนุนที่ชัดเจน เช่น เรื่องภาษี งบประมาณในการสนับสนุนสตาร์ทอัป ซึ่งหลังจากนี้จะมีการขับเคลื่อนอย่างจริงจัง โดยความร่วมมือจากหลายหน่วยงาน
สิ่งที่ทำให้เกิดการพัฒนา AI อีกประการ คือกฎหมาย คณะกรรมการ AI แห่งชาติ มีแผนประกาศใช้กฎหมาย 1 ฉบับอยู่ในขั้นตอนการประชาพิจารณ์ ซึ่งแนวทางของไทย คือการส่งเสริม หัวใจ คือการปลดล็อกกฎหมายที่เป็นอุปสรรค การสนับสนุนดาต้า แชร์ริ่ง ซึ่งจะแตกต่างจากฎหมายของยุโรป ที่มีความเข้มงวด ไทยจะเน้นการส่งเสริม และการกำกับดูแลกันเองของสมาคมวิชาชีพ
ด้านมืดของ AI ความท้าทายที่ต้องตระหนัก
เมื่อถามถึงข้อกังวลต่อเทคโนโลยี AI ดร.ชัยกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า สิ่งที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่ Deepfake หรือ ChatGPT แต่คือ "การแย่งงาน" โดยเฉพาะในวิชาชีพที่ไม่มีข้อจำกัด
"AI มีประสิทธิภาพสูงมาก เราอาจเห็นทีมข่าว 10 คน เหลือเพียง 2 คนได้ในอนาคต แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าอีก 8 คนต้องตกงาน ถ้าเราวางระบบให้ดี มีการพัฒนาทักษะใหม่ และมีกฎระเบียบที่กำกับว่าอะไรควรใช้ AI อะไรควรให้คนทำ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกันได้"
นอกจากนี้ เขาเน้นย้ำว่า การออกกฎหมาย ควรใช้แนวทาง Soft Regulation มากกว่าการออกข้อห้าม เพราะการสั่งห้ามโดยไร้ทางเลือก อาจเป็นการสกัดนวัตกรรมมากกว่าปกป้อง
“ประเทศที่พัฒนาแล้ว กับประเทศเรา มีความแตกต่างกันอย่างมหาศาล เขาพูดถึงการกำกับดูแล ไม่พูดถึงการพัฒนา เพราะเขาพัฒนาไปไกลกว่าเรา เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เราจะได้นำมาใช้หรือเปล่ายังไม่รู้ ถ้ากฎหมายเข้มงวดมากไปจะไม่เกิดการสร้างสรรค์ ไทยจึงเน้นการพัฒนานวัตกรรม AI เป็นหลัก” ดร.ชัยระบุ
สุดท้าย ดร.ชัยฝากข้อเสนอถึงภาครัฐว่า ต้องเร่งสรุปแผนจัดสรรงบประมาณ เสริมการลงทุนภาคเอกชน และสร้างแรงจูงใจให้สตาร์ทอัปด้าน AI เช่น มาตรการภาษี สิทธิประโยชน์จาก BOI และสร้างกลไกตรวจสอบคุณภาพ AI ที่ใช้งานในประเทศ
"เราต้องไม่เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยีที่ดี แต่ต้องมีส่วนร่วมในการเป็นผู้สร้าง แม้ฮาร์ดแวร์จะยาก แต่คลังข้อมูลและซอฟต์แวร์เราทำได้ และต้องทำให้ได้ เพราะอนาคตของประเทศ ขึ้นอยู่กับความสามารถในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีอย่างเป็นธรรมและยั่งยืน" ดร.ชัยกล่าวทิ้งท้าย
3 ต.ค. 2568
6 ต.ค. 2568