Last updated: 16 ก.ย. 2568 | 278 จำนวนผู้เข้าชม |
‘ทุกอาชีพไม่มีทางชนะ AI แต่ต้องอยู่กับ AI ให้เป็น’
รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี (IMC Institute)
วันนี้ต้องยอมรับว่า AI คือ เทคโนโลยีที่มาเป็น “ผู้เปลี่ยนเกม” อย่างแท้จริง และมนุษย์ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับ AI ได้ แต่จะอยู่อย่างไร นั่นคือคำถามที่ต้องการคำตอบ รศ.ดร.ธนชาติ นุ่มนนท์ ผู้อำนวยการ สถาบันไอเอ็มซี ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี ที่มีประสบการณ์ในการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งภาคการศึกษา ภาครัฐ และเอกชน อันดับต้น ๆ ของเมืองไทย ได้ชี้เห็นถึงพัฒนาการของ AI และแนวทางที่จะอยู่กับ AI ในอนาคต
“มนุษย์ไม่มีทางวิ่งเร็วกว่ารถยนต์ฉันใด ก็ไม่มีทาง ‘ชนะ’ AI ฉันนั้น แต่เราสามารถขับรถไปไหนก็ได ดังนั้น ถ้า ‘อยู่กับมันให้เป็น’ AI จึงไม่ใช่คู่แข่ง หากเป็นพาหนะที่จะพาเราไปไกลกว่าเดิม” รศ.ดร.ธนชาติ เปรียบเทียบให้เห็นภาพความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI
คนใช้ AI จะได้เปรียบ คนไม่ใช้จะเสียเปรียบ
รศ.ดร.ธนชาติ กล่าวว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่มีมานานแล้ว แต่มีจุดเปลี่ยนอยู่ 3 – 4 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหตุการณ์แรก เกิดขึ้นในปี 2016 เมื่อ AI ที่เรียกว่า AlphaGo ชนะเซียนหมากล้อมระดับโลก นับเป็นสัญญาณว่า AI เริ่มมีความคิดมีความที่ซับซ้อน และเก่งขึ้นจนสามารถเอาชนะมนุษย์ได้ 6 – 7 ปีต่อมา AI มีกระบวนการเรียนรู้และจดจำได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น จดจำใบหน้าคน เลียนแบบการพูด และการเคลื่อนไหว และเหตุการณ์สำคัญ คือการเกิดขึ้นของ Generative AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini ที่มีความคิดสร้างสรรค์ สามารถเขียนหนังสือได้ แต่งเพลงได้ มีจินตนการ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ส่งผลกระทบต่อคนอย่างมาก ซึ่งมีอยู่ 2 มุม สำหรับคนที่จะนำ AI มาใช้ และอนาคตของ AI จะเป็นอย่างไร
ผลกระทบจากความฉลาดของ AI ทำให้บางอาชีพเหนื่อยขึ้น เช่น เรื่องภาษา AI สามารถพูดได้หลายภาษา ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ หรือการเขียนโปรแกรม AI เขียนโปรแกรมเก่งกว่าคนมาก ทำให้เกิดปรากฎการณ์บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างไมโครซอฟต์ปลดพนักงานจำนวนมาก เพราะ AI สามารถเขียนโค้ดได้เก่งกว่า รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ
“ในอดีตเรามองว่า AI เป็นหุ่นยนต์ ทำงานในโรงงาน ดังนั้นอาชีพที่จะได้รับผลกระทบ คือคนที่ทำงานในโรงงานผลิต ภาคอุตสาหกรรม แต่ตอนนี้ด้วยความฉลาดของ AI ที่มีความสามารถทำงานได้หลายอย่าง คนที่คิดว่ามีอาชีพที่มั่นคงปลอดภัย ก็อาจจะไม่แน่ แต่ยังมองว่า AI จะไม่แย่งงานคน แต่จะเป็นผู้ช่วยของคนในการทำงาน”
สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือ คนที่ไม่ใช้ AI จะเกิดความเสียเปรียบ AI อาจจะทำให้คนในตลาดแรงงานมีจำนวนน้อยลง แต่ตลาดต้องการคนเก่งมากขึ้น และเกิดอาชีพใหม่ ๆ ที่จะมาควบคุมการทำงานของ AI ดังนั้นคนที่ใช้ AI เป็นจะเก่งขึ้น ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น คนเก่งแต่ไม่ใช้ AI จะเสียเปรียบ ไม่เก่งและไม่ใช้ AI ก็จะยิ่งเสียเปรียบ และเสี่ยงที่จะหลุดจากตลาดแรงงาน จะเกิดช่องว่างระหว่างคนใช้และไม่ใช้ AI มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม รศ.ดร.ธนชาติ มองว่า การนำ AI มาใช้ แน่นอนว่าจะช่วยในเรื่องประสิทธิภาพและลดต้นทุนให้ภาคธุรกิจอย่างมหาศาล ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจในการดำเนินธุรกิจ และสามารถทำงานได้ 24 ชั่วโมง 7 วัน จะเกิดบริษัทแบบ One Man Company มากขึ้น แต่สิ่งสำคัญคนที่ใช้ AI ต้องคิดด้วย ถ้าใช้แบบไม่คิด จะไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน
รศ.ดร.ธนชาติ กล่าวว่า อีกปัจจัยที่สำคัญ และเป็นข้อควรระวังในการใช้ AI คือ ผลกระทบทางสังคมและความมั่นคง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องการใช้ AI มาใช้ในการสร้าง deepfake และ misinformation ที่จะสร้างข้อมูลที่บิดเบือนในสังคมได้ เช่น การใช้ AI ชี้นำผลเลือกตั้ง และ ช่องว่างของคนใช้และไม่ใช้ (AI Divide) ใครที่เข้าถึงและใช้ AI ก่อนย่อมได้เปรียบ ซึ่งในยุโรปมีกฎหมาย AI Act กำกับจริยธรรมและความปลอดภัย แต่กฎหมายมักวิ่งช้ากว่าเทคโนโลยีเสมอ ต้องระวัง
AI ทำให้เกิด Winner‑takes‑all
“อาชีพสื่อก็เช่นเดียวกัน วันนี้ AI สามารถเขียนบทความในเชิงลึกได้ดีกว่าบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ หรืออย่าง Gemini หรือ NotebookLM สามารถสร้างพอตคาสต์ที่เป็นการพูดคุยระหว่างคนสองคนได้”
การเข้ามาของ Generative AI ที่สามารถคิดสร้างสรรค์ได้ ทำให้เกิดผลกระทบในหลายอาชีพ รวมทั้งอุตสาหกรรมสื่อและภาพยนตร์ อย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปลายปี 2024 มีกลุ่มสมาคมดาราฮอลลีวูดประท้วงว่า AI ส่งผลกระทบต่ออาชีพ เช่น สตัน คนเขียนบท เขียนคอนเทนต์ วิเคราะห์ดาต้า สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ได้ รวมถึงการสร้างสรรค์วิดีโอ ภาพนิ่ง และบทละคร
สำหรับอุตสาหกรรมสื่อ รศ.ดร.ธนชาติ กล่าวว่า จะเริ่มเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนสำหรับสื่อที่ใช้ AI และ ไม่ใช้ อย่าง Netflix ใช้ AI วิเคราะห์ดาต้าจนรู้ว่า “ควรสร้างซีรีส์เรื่องถัดไปเกี่ยวกับอะไร” หรือ The New York Times ลดยอดขายสิ่งพิมพ์ แต่เพิ่มสมาชิกดิจิทัลได้พุ่งกระฉูดด้วยคอนเทนต์แบบ Personalized การใช้ AI ในอุตสาหกรรมสื่อจะทำให้ได้ผลลัพท์ที่เรียกว่า “Winner‑takes‑all” คือ จะเหลือสื่อรายใหญ่เพียงหยิบมือ แต่เปิดโอกาสให้ “รายเล็กที่ว่องไว” แจ้งเกิดบน YouTube หรือโซเชียลได้ด้วยต้นทุนต่ำ
ดังนั้น สิ่งที่สื่อ และผู้สร้างสรรค์รายการ ต้องทำคือ
1. ใช้ AI วิเคราะห์ความสนใจผู้อ่านแบบเรียลไทม์
2. ตรวจสอบจริยธรรม–ลิขสิทธิ์ของเนื้อหาที่ AI ผลิต
3. รีสกิลทีมงานให้ทำงานร่วมกับ AI อย่างสร้างสรรค์
อย่างไรก็ตาม ในการนำ AI มาใช้ มีข้อควรระวังในเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งวันนี้ยังมีข้อถกเถียงในการนำ AI มาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน องค์กรสื่อต้องปรับตัว เดิมเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่เคลื่อนตัวช้า ต้องลดขนาดองค์กรเพื่อให้อยู่รอดได้ และใช้เครื่องมือใหม่ ๆ เข้ามาช่วย สิ่งสำคัญที่จะทำให้สื่ออยู่ได้ คือ “แบรนดิ้ง” ดังนั้นต้องสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง และใช้เทคโนโลยีขยายโอกาสทางธุรกิจไปสู่ช่องทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยสร้างรายได้ให้เพิ่มขึ้น ส่วนการแย่งชิงการประมูลคลื่นความถี่อาจจะลดลง
ต้องใช้ AI อย่างมียุทธศาสตร์
ผู้อำนวยการสถาบันไอเอ็มซี กล่าวด้วยว่า ปัจจุบันประเทศกำลังตกอยู่ในภาวะวิกฤต ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลก สงครามการค้า และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ภาครัฐต้องนำ AI มาใช้ในการเสริมสร้างศักยภาพของบุคลากร เพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ AI จะเป็นเครื่องมือที่จะช่วยฉุดประเทศออกจากวิกฤต ยกระดับบริการสาธารณะ แต่หัวใจสำคัญ คือภาครัฐต้องกำหนดยุทธศาสตร์ให้ชัดเจน และใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยให้บรรลุเป้าหมาย ไม่ใช่ให้เทคโนโลยีเป็นตัวนำ
ทิศทางของประเทศต้องเป็นตัวนำ บางครั้งเราตามกระแสเทคโนโลยี โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง อีก 3 – 4 ปีข้างหน้า คนจะใช้ AI แพร่หลายเหมือนการใช้อินเทอร์เน็ต เป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต ปัจจุบันองค์กรในประเทศไทยมีการใช้ AI อยู่ประมาณ 10-20% ยังไม่เยอะ สำหรับองค์กรใหญ่ไม่ห่วง แต่ห่วงเอสเอ็มอี ดังนั้นภาครัฐต้องวางทิศทางส่งเสริมการใช้ AI ให้ชัดเจน จะนำมาใช้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างไร ทั้งภาคเกษตร การท่องเที่ยว การแพทย์ ต้องเร่งอัปสกิล รีสกิลอย่างจริงจัง
“ทุกอาชีพ ไม่มีทางชนะ AI ไม่ได้มาแทนที่เรา แต่ต้องอยู่กับเขา ให้ AI เป็นผู้ช่วย ช่วยทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน เหมือนวันที่เรามีรถยนต์ มนุษย์ไม่มีทางวิ่งเร็วกว่ารถ ดังนั้นอยู่กับมัน เช่นเดียวกับ AI แต่ในระยะยาว ก็มีความเสี่ยงอันหนึ่ง ถ้า AI เก่งเกินกว่ามนุษย์ หรือ AGI อาจจะทำให้เกิดการว่างงานครั้งใหญ่ ความกังวลดังกล่าว ทำให้ Geoffrey Hinton ผู้บุกเบิก AI เริ่มคิดถึงการหยุด AI เพราะความเก่งจนน่ากลัวของ AI” รศ.ดร.ธนชาติกล่าวทิ้งท้าย
7 ก.ย. 2568
13 ก.ย. 2568
10 ก.ย. 2568
9 ก.ย. 2568