AI เปลี่ยนเกมลิขสิทธิ์โลก โอกาสของผู้สร้างที่สมดุล

Last updated: 3 ต.ค. 2568  |  321 จำนวนผู้เข้าชม  | 

AI เปลี่ยนเกมลิขสิทธิ์โลก โอกาสของผู้สร้างที่สมดุล


“AI เปลี่ยนเกมลิขสิทธิ์โลก โอกาสของผู้สร้างที่สมดุล”

ศิริลักษณ์ รุ่งเรืองกุลดิษฐ์
นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กองลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา


 


“ผลลัพธ์จาก AI ไม่สามารถถือว่าเป็น ‘งานอันมีลิขสิทธิ์’ ได้ หากไม่มีมนุษย์อยู่เบื้องหลังการสร้างสรรค์อย่างชัดเจน”

 

เมื่อเทคโนโลยี Generative AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ความท้าทายที่ตามมา คือคำถามใหญ่ “ใครคือเจ้าของผลงานที่ AI สร้างขึ้น?” คำถามนี้ไม่ได้เป็นแค่ประเด็นเชิงกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสะท้อนการเปลี่ยนผ่านเชิงวัฒนธรรมของโลกสร้างสรรค์อีกด้วย ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกกำลังเร่งวางกรอบกฎหมายและแนวทางการกำกับใหม่ เพื่อให้ทันกับเทคโนโลยีที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว

ศิริลักษณ์ รุ่งเรืองกุลดิษฐ์ นักวิชาการพาณิชย์ชำนาญการ กองลิขสิทธิ์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา อธิบายว่า แม้ AI จะช่วยให้การสร้างผลงานทำได้เร็วและง่ายขึ้น แต่งานเหล่านั้นยังไม่อาจจัดว่าเป็น “ทรัพย์สินทางปัญญา” ได้อย่างชัดเจน หากไม่มีมนุษย์เป็นผู้สร้างสรรค์หรือผู้ประดิษฐ์โครงสร้างหลักของงานชิ้นนั้น

         

สิทธิบัตร GenAI ทะยาน 800% ใน 10 ปี

รายงานขององค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (WIPO) ปี 2023 ระบุว่า สิทธิบัตรที่เกี่ยวกับ GenAI เพิ่มจาก 733 รายการในปี 2014 เป็นกว่า 14,000 รายการในปี 2023 ส่วนงานวิจัยวิชาการพุ่งจาก 116 ชิ้น เป็นมากกว่า 34,000 ชิ้นในช่วงเวลาเดียวกัน

“การเติบโตของ AI ไม่ได้เกิดแค่ในแง่เทคโนโลยี แต่กำลังขยายอิทธิพลเข้าสู่วงการสร้างสรรค์ ศิลปะ และสิทธิในผลงานมากขึ้นทุกปี”

AI กลายเป็นเครื่องมือใหม่ที่ขยายพรมแดนความคิดสร้างสรรค์ คุณศิริลักษณ์กล่าวว่า จุดแข็งของ AI คือการช่วยให้ผู้สร้างผลงานสามารถ สร้างเนื้อหาได้เร็วขึ้น ฟื้นฟูหรือดัดแปลงงานเก่า เช่น หนังเก่าให้คมชัด ตรวจจับการละเมิดลิขสิทธิ์อัตโนมัติ (เช่น ตรวจจับเพลงซ้ำใน YouTube) เพิ่มประสิทธิภาพในการตรวจสอบงานลิขสิทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว

กรมทรัพย์สินทางปัญญาเองก็เริ่มนำ AI มาใช้แล้ว เช่น Chatbot ที่ตอบคำถามเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา Image Search ที่ตรวจค้นเครื่องหมายการค้าด้วยภาพ และระบบตรวจจับเพลงซ้ำซ้อนจากฐานข้อมูลกว่า 10 ล้านเพลง

 

“AI ไม่ใช่เจ้าของลิขสิทธิ์” และยังมีความเสี่ยงอยู่

แม้ AI จะผลิตผลงานได้ดีเพียงใด แต่ตามกฎหมายไทยและอีกหลายประเทศทั่วโลก “ผู้สร้างสรรค์” จะต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น AI จึงไม่สามารถถือครองลิขสิทธิ์ได้

“หากคุณใช้ภาพ เสียง หรือบทความ ที่เป็นงานลิขสิทธิ์ของคนอื่น มาให้ AI สร้างต่อ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ มีโอกาสสูงที่จะละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว” ศิริลักษณ์ย้ำ

ในบางประเทศ เช่น จีน มีแนวโน้มที่จะให้ความคุ้มครองแก่ผู้ที่ “เขียน Prompt” สำหรับการสร้างผลงานด้วย AI โดยถือว่าผู้ใช้งานที่ป้อนคำสั่ง (Prompt Engineer) มีความวิริยะอุตสาหะเพียงพอ ในการสร้างผลงาน และอาจถือเป็นเจ้าของผลงานลิขสิทธิ์ในผลงานที่เกิดขึ้นได้ ส่วนในยุโรปมีมาตรการควบคุมการใช้ AI อย่างเข้มงวด โดยได้ออกกฎหมาย EU AI Act มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2024 ที่จัดทำขึ้นเพื่อควบคุมการใช้ปัญญาประดิษฐ์โดยตรง ขณะที่สิงคโปร์และญี่ปุ่น ยอมรับการใช้ “Text and Data Mining” เพื่อการศึกษา–วิจัย หรือเชิงพาณิชย์ ไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์

ในต่างประเทศ เริ่มมีบริษัทสื่อและผู้ผลิตเนื้อหาหลายแห่งได้ยื่นฟ้องบริษัทซอฟต์แวร์ Generative AI โดยอ้างว่าบริษัท AI ได้เทรนโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLM) ต่าง ๆ อย่างผิดกฎหมายเกี่ยวกับเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์จากบริษัทสื่อ แต่บริษัทสื่อบางแห่งก็อนุญาตให้บริษัท Generative AI ใช้เนื้อหาของตน โดยมีข้อตกลงทางธุรกิจที่ยังเป็นความลับ

 

โอกาสใหม่ของวงการสร้างสรรค์ (หากใช้ถูกทาง)

ศิริลักษณ์ เล่าว่า ได้เห็นพัฒนาการในการนำ AI มาใช้ในการสร้างธุรกิจด้านลิขสิทธิ์ เช่น แพลตฟอร์มอย่าง Shutterstock เริ่มสนับสนุนให้ผู้ใช้งานแพลตฟอร์มสามารถสร้างงานผ่าน AI และสามารถนำไปใช้เชิงพาณิชย์ได้ โดยไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ขณะที่ Deezer รายงานว่ามีเพลงจาก AI ถูกสร้างขึ้นกว่า 200,000 เพลงต่อวัน

ในแง่นี้ AI เปรียบได้กับ “เครื่องมือใหม่” เช่นเดียวกับเมื่อครั้งกล้องดิจิทัลเข้ามาแทนกล้องฟิล์ม ใครที่รู้จักใช้จะได้เปรียบ แต่ก็ต้องคำนึงถึงจริยธรรมและความถูกต้องทางกฎหมายด้วย

กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้ตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ จึงตั้ง “คณะทำงานด้าน AI กับลิขสิทธิ์” ขึ้นเพื่อศึกษา วิเคราะห์แนวทางในประเทศและต่างประเทศ พร้อมเตรียมวาง “รากฐานกฎหมายใหม่” ที่เหมาะสมโดยร่วมมือกับภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ มีการพัฒนาแบบฟอร์มการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ ที่มีการใช้งาน AI ในการสร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งให้ความรู้ประชาชนเรื่อง “สิ่งใดเจนด้วย AI แล้วถือว่าละเมิดลิขสิทธิ์” และ “สิ่งใดถือว่าไม่ละเมิด”

“เราอาจไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายทุกเรื่อง แต่อาจใช้แนวทางคล้ายกับช่วงเปลี่ยนผ่านจากซีดีเถื่อนสู่ Netflix ที่สังคมค่อย ๆ ปรับตัวไปเองด้วยเทคโนโลยีและแนวคิดใหม่ โดยไม่ต้องไปปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง”

อย่างไรก็ตาม สำหรับพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ได้มีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดในปี 2565 ได้มีการปรับปรุงบางประเด็นเกี่ยวกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต (ISP) เช่น การแจ้งเตือนเพื่อลบเนื้อหาละเมิด (Takedown Notice) ซึ่งเป็นกระบวนการผ่าน ISP ที่ช่วยให้การจัดการกรณีออนไลน์ทำได้ง่ายขึ้น

 

สร้างสมดุลระหว่าง “เจ้าของสิทธิ” กับ “สาธารณประโยชน์”

ศิริลักษณ์ ย้ำว่า การใช้ AI เพื่อสังคม เช่น ผลิตเสียงอ่านให้ผู้พิการโดยองค์กรที่ได้รับอนุญาตหรือได้รับการยอมรับ หรือพัฒนาเนื้อหาทางการศึกษาบางกรณี อาจเป็นเหตุให้เกิดข้อยกเว้นบางประการเกี่ยวกับการกำกับดูแลการละเมิดลิขสิทธ์ ซึ่งต้องชั่งน้ำหนักระหว่าง “สิทธิของผู้สร้าง” กับ “ผลประโยชน์ส่วนรวม” อย่างรอบคอบ

“กฎหมายไม่ควรตามหลังเทคโนโลยีมากจนเกินไป แต่ก็ไม่ควรล้ำหน้าจนขวางนวัตกรรม ต้องหาจุดที่สมดุลและยืดหยุ่นได้ในระยะยาว”

หัวใจสำคัญ ต้องอยู่กับ AI ให้เป็น…ในกรอบของกฎหมายที่ยืดหยุ่น โลกกำลังหมุนเร็วขึ้นด้วยพลังของ AI ผู้สร้างสรรค์ควรมองมันเป็น “เครื่องมือ” ไม่ใช่ “เจ้าของผลงาน” และควรใช้มันอย่างมีจริยธรรม มีความเข้าใจเชิงลึก และอยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่ปรับเปลี่ยนได้ตามกาลเวลา

กรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่ได้มอง AI เป็นภัยคุกคาม แต่มองว่าเป็น “โอกาส” ที่ต้องควบคุมและเรียนรู้ไปด้วยกันกับภาคธุรกิจ นักสร้างสรรค์ และผู้บริโภค

 






Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้