หัวใจสำคัญของสื่อสาธารณะ คือความน่าเชื่อถือ

Last updated: 6 ต.ค. 2568  |  575 จำนวนผู้เข้าชม  | 

หัวใจสำคัญของสื่อสาธารณะ คือความน่าเชื่อถือ

หัวใจสำคัญของสื่อสาธารณะ คือความน่าเชื่อถือ
 
‘กนกพร ประสิทธิ์ผล’ ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส



สำหรับไทยพีบีเอส ในฐานะสื่อสาธารณะ ต้องเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัลเช่นเดียวกับสื่อของรัฐหรือเอกชน ท่ามกลางบทบาทในการให้บริการสาธารณะที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนเป็นสำคัญ ผ่านการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

“สิ่งที่ให้ความสำคัญมากที่สุด คือความน่าเชื่อถือ และใช้เทคโนโลยี AI หรือปัญญาประดิษฐ์ เพื่อประดิษฐ์ปัญญาให้สังคม” กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการสำนักสื่อดิจิทัล ไทยพีบีเอส ให้สัมภาษณ์กับกองบรรณาธิการ เพื่อชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการผลิตสื่อ โดยเฉพาะสื่อสาธารณะที่ต้องยึดมั่นในความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด

สำนักสื่อดิจิทัล เป็น 1 ใน 9 สำนักภายใต้โครงสร้างของไทยพีบีเอส สื่อสาธารณะของประเทศไทย ที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อพัฒนาสื่อดิจิทัลทุกรูปแบบ ทั้งเวบไซต์ โซเชี่ยล มีเดีย แอปพลิเคชัน เมื่อองค์กรมีนโยบายเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล มุ่งสู่การเป็น “Digital First” สำนักสื่อดิจิทัลจึงรับผิดชอบการดำเนินงานทุกอย่างที่อยู่ในรูปดิจิทัล แพลตฟอร์ม และเมื่อมีกระแส AI เข้ามากระเพื่อม จึงหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ AI เป็นตัวนำ ท่ามกลางเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว

 

AI ตอบโจทย์เข้าถึงคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม

กนกพร เล่าว่า ไทยพีบีเอสนำ AI มาใช้ตั้งแต่ก่อนได้รับความนิยม โดยวัตถุประสงค์หลักของการนำ AI มาใช้เพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ชมของไทยพีบีเอส ช่วงแรกเน้นไปที่การแนะนำรายการเพื่อให้ผู้ชมผู้ฟังเข้าถึงรายการของไทยพีบีเอสมากขึ้น พอ AI มีการพัฒนาและมีศักยภาพมากขึ้น ไทยพีบีเอสเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น ฟังก์ชันอ่านให้ฟัง text to speech สำหรับข่าวในเวบไซต์ไทยพีบีเอส ซึ่งส่วนใหญ่อุตสาหกรรมสื่อจะเน้นไปที่วิดีโอ ภาพนิ่ง เนื้อหารายการ แต่เรื่องเสียงยังไม่มีให้บริการ โปรแกรม text to speech จึงเข้ามาแก้ปัญหาจุดนี้ และได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ เป็นเสียงอัตลักษณ์ของผู้ประกาศข่าวไทยพีบีเอส ไปจนถึงพัฒนาบริการอ่านไปด้วยกัน ในรูปแบบภาษาคาราโอเกะ

สำหรับผลิตภัณฑ์ของไทยพีบีเอส ที่เกิดการพัฒนาจาก AI ได้แก่ อ่านให้ฟัง (text to speech) สรุปให้ฟัง (AI in Brief) ชมสดในแนวตั้งแบบอัตโนมัต (AI Vertical LIVE) เพื่อการรับชมรายการทางมือถือ Chatbot ที่นำมาทดแทนระบบคอลเซนเตอร์ และการแนะนำรายการที่ตรงใจผู้ชม (AI Suggestion)

“AI ช่วยทำให้เห็นผลลัพท์เยอะขึ้น เราใช้เพื่อตอบโจทย์ pain point กลุ่มผู้ชม ผู้ฟัง แต่ก่อนอื่นต้องรู้ว่าสินค้าของเรา คืออะไร AI เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้สินค้าของเราโดดเด่น แตกต่าง พัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงการใช้เพื่อแก้ไขและเพิ่มศักยภาพ” กนกพรกล่าว

ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์จาก AI สำนักสื่อดิจิทัล เริ่มด้วยทีมพัฒนาเพียง 3 คน และบุคลากรด้าน AI ยังหายาก เพราะเป็นองค์ความรู้ใหม่ ต้องทำงานกับบริษัทเทคโนโลยี เอาท์ซอร์ส เพราะพัฒนาบุคลากรไม่ทันกับเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว งานพัฒนา AI ต้องอาศัยความพยายามในการแก้ปัญหา และปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานตลอดเวลา ที่ไทยพีบีเอส จะมีการพัฒนาบุคลากร 2 กลุ่มเพื่อรองรับการใช้ AI กลุ่มแรก คือบุคลากรด้านเทคโนโลยี ที่ต้องพัฒนา ต่อยอดการใช้ AI และกลุ่มที่ 2 คือคอนเทนต์ ที่ต้องนำ AI ไปใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงคอนเทนต์ไปสู่นวัตกรรมใหม่ ๆ

 

คนต้องกำกับในทุกขั้นตอนของการใช้ AI

          สำหรับการใช้ AI ในการสร้างสรรค์เนื้อหารายการเผยแพร่ผ่านสื่อ ไม่ว่าจะเป็นการทำภาพ วิดีโอ การรีไรท์งาน แปลภาษา ปัจจุบันคนในองค์กรไทยพีบีเอส มีการนำ AI มาใช้เกือบ 100% บางคนใช้มาก บางคนใช้น้อย แต่ที่สำคัญต้องใช้คนในการกำกับการใช้ AI ในทุกผลิตภัณฑ์ เช่น อ่านให้ฟัง (text to speech) ต้องมีคนคอยตรวจสอบ คอยสอน AI ให้เรียนรู้คำที่ถูกต้อง ซึ่งจากการเทรน AI ตรงนี้ ปัจจุบันมีคำศัพท์เป็นหมื่นคำที่เกิดจากการเรียนรู้ การสร้างการเรียนรู้นี่จะช่วยให้เทคโนโลยีมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

          ในแง่ของบุคลากรในองค์กรสื่อ ก็ต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ เช่น เมื่อก่อนมีรีไรท์เตอร์ ก็ต้องเปลี่ยนมารีไรต์บอตแทน หรือการใช้เสียง AI ผู้ประกาศ ซึ่งความถูกต้องอยู่ที่ประมาณ 98% ถ้าเหมือน 100% ผู้ชมจะแยกลำบาก ที่สำคัญหากเกิดความผิดพลาดจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของช่อง จึงมีการใส่ข้อความกำกับ “นี่คือเสียงสังเคราะห์” มีโปรแกรมให้ผู้ฟังสามารถกดรีพอร์ตได้ ซึ่งเสียงจากผู้ชมจะเป็นสิ่งสะท้อนให้เกิดการพัฒนา

          อย่างไรก็ตาม ที่ไทยพีบีเอส จะมีข้อจำกัดในการนำ AI มาใช้ เช่น ข่าวพระราชสำนัก ข่าวที่มีความอ่อนไหว จะเปลี่ยนมาใช้คนในการอ่านแทน

          “การนำ AI มาทำงานแทนคน อาจสร้างความกังวลให้กับตลาดแรงงาน ในองค์กรสื่อก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันงานรูทีน หรืองานที่ทำซ้ำ ๆ ต่อไปอาจใช้ AI แทนคนได้ แต่คนก็ต้องเปลี่ยนบทบาทหน้าที่ เพื่อการเรียนรู้ใหม่ ๆ แก้ปัญหาให้กับ AI ต้องมีคนคอยกำกับ AI สำหรับอาชีพนักข่าวยังถือว่าปลอดภัย มีความเสี่ยงน้อยกว่าบุคลากรด้านงานสนับสนุน เพราะการที่นักข่าวได้เจอคน สัมภาษณ์ พูดคุย นี่ถือเป็นเรื่องใหม่ ที่ AI ยังไม่เคยรู้มาก่อน รวมถึงคอนเนคชัน แต่ AI จะมาช่วยให้นักข่าวทำงานได้เยอะขึ้น เร็วขึ้น และมีความหลากหลายมากขึ้น” กนกพรกล่าว

 

องค์กรต้องยอมลงทุนเพื่อพัฒนา AI

          ในมุมมองของ กนกพร AI ไม่ได้เข้ามาช่วยลดต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่ในช่วงแรกอาจจะต้องลงทุนเพื่อพัฒนาระบบ AI ขององค์กร เพื่อตอบโจทย์นโยบายและพันธกิจของแต่ละองค์กร แต่สุดท้ายปลายทาง AI จะเข้ามาช่วยลดต้นทุนได้อย่างแน่นอน เช่น ลดต้นทุนด้านบุคลากร ซึ่งแต่ละองค์กรต้องมีการวางแผนอย่างชัดเจน ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผล การวิเคราะห์ที่มีความแม่นยำ และแผนการตลาดที่มีประสิทธิภาพ การลงทุนต้องพิจารณาถึงความคุ้มทุน ซึ่งอยู่ที่ความสามารถในการต่อยอดการใช้เทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์การแก้ปัญหาของแต่ละองค์กร

“การลงทุนทุกผลิตภัณฑ์ของเรา สิ่งที่เรียนรู้ ผู้ชมอาจไม่ว้าวไปกับเรา ถ้าประชาสัมพันธ์ไม่ถึง ก็ไม่สำเร็จ การจะประสบความสำเร็จไม่ใช่แค่เทคโนโลยีอย่างเดียว มาร์เก็ตติ้งต้องดี พีอาร์ต้องดี ที่สำคัญการลงทุนทุกอันไม่ได้ถูกตั้งแต่แรก ล้มแล้วต้องแก้ไขเร็ว ทำแล้วไม่เวิร์คก็มี ต้องปิดฟีเจอร์ไป รวมถึงคนที่จะสนใจ AI อาจไม่ใช่คนเทคอย่างเดียว ทำอย่างไรให้สินค้าเกิดแวลู คนในองค์กรต้องพยายามสร้างความเข้าใจ นักข่าว ผู้บริหาร ต้องพยายามทำให้เห็นผล ถึงจะเป็นการใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพ” กนกพรระบุ

ในแง่จริยธรรม การกำกับดูแล กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับ AI นอกจากจะมีกรอบในการดำเนินงานขององค์กรวิชาชีพ หรือหน่วยงานภาครัฐแล้ว สำหรับสื่อ ควรต้องมีกรอบการดำเนินงานของตัวเอง สำหรับไทยพีบีเอสกำลังร่าง AI Policy/ Governance ของตัวเอง ครอบคลุมทุกยูนิต เหมือนยุคโซเชียล มีเดียบูม ไทยพีบีเอสจะมีกฎ ระเบียบที่ละเอียดกว่าภาพรวม ไม่ใช่กฎเดียวสามารถใช้ได้หมดกับทุกองค์กร

          “เราปฏิเสธไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมสื่อต้องใช้ AI ไม่ใช่แค่ข่าว แต่รวมถึงเนื้อหารายการต่าง ๆ สิ่งที่ต้องระมัดระวังอย่างมาก คือความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งที่มีมูลค่า มีราคาแพง AI ไม่สามารถไห้ได้ 100% เพราะฉะนั้นเราไม่สามารถนำมาเสี่ยงกับความน่าเชื่อถือได้ แต่นำมาช่วยได้ และคนต้องทำให้มันฉลาดขึ้น เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าไป เราก็ต้องก้าวไป ไม่งั้นคู่แข่งก็ไป สิ่งที่ยาก คือ การใช้ AI ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และวิจารณญาณของคนใช้ ไม่มีอะไรสามารถทดสอบทักษะในการใช้ AI ได้ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากมากที่ไว้ใจคนใช้ AI นี่ คือสิ่งที่น่ากลัว คนต้องเข้าไปตรวจสอบทุกด่าน คนต้องเก่งกว่า ถ้าไม่เก่งกว่าจะเกิดความผิดพลาด”

          อย่างไรก็ตาม กนกพร ได้ให้แง่คิดไว้ว่า เทคโนโลยีไม่ว่าจะก้าวล้ำไปอย่างไร แต่อยากให้พลังของพลเมือง ที่มีความเฉพาะส่วนบุคคลมากขึ้น เราต้องใช้ดาต้าอย่างสร้างสรรค์ วันนี้เข้าได้ก้าวสู่ยุค AI และเราไม่สามารถต้านทานได้ ดังนั้น สื่อในยุค AI ยังต้องมีหน้าที่ในการประดิษฐ์ปัญญาให้สังคม และ AI จะช่วยให้พลังของพลเมืองมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นในการขับเคลื่อนสังคม



Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้